หน้าเว็บ

Powered By Blogger

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สวนต่างแดน: มาดูเขาทำสวนองุ่นที่ปักกิ่งกันเถอะ

องุ่นเป็นผลไม้ยอดนิยมอย่างหนึ่งของคนจีน โดยเฉพาะองุ่นสำหรับทานผลสด (fresh table grape) ซึ่งในปี 2012 จีนได้กลายเป็นประเทศที่สามารถผลิตได้มากที่สุดในโลกไปแล้ว โดยสามารถปลูกได้เกือบทุกมณฑลในจีนครับ แต่แหล่งปลูกที่สำคัญ คือ แถบมณฑล เหอเป่ย (Hebei), ซานโตง (Shandong), เหลียวหนิง (Liaoning), เหอหนาน (Henan) และ ซินเจียง (Xinjiang) ซึ่งมีพื้นที่และผลผลิตรวมกันประมาณ 2 ใน 3 ของการผลิตทั้งประเทศเลยทีเดียวครับ

บริเวณจำหน่ายผลผลิตและส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ
สวนองุ่นที่ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมนั้น อยู่บริเวณเขตเมืองต้าซิง (Daxing) (ทางตอนใต้ของปักกิ่ง) ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1-2 ชั่วโมง ครับ (ด้วยรถยนต์ไม่ประจำทาง) มีทั้งของสถาบันวิจัยองุ่น และของเกษตรกรครับ

ส่วนใหญ่ที่นี่นิยมปลูกให้เป็นต้นตั้งตรงหรือจัดทรงต้นเป็นรูปตัววาย (Y trellis system) ซึ่งค่อนข้างสะดวกในการจัดการสวนและการเก็บเกี่ยวครับ (จะต่างจากแหล่งปลูกชื่อดังอย่างซินเจียงที่นิยมทำค้างให้เลื้อย) หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว จะตัดแต่งกิ่งให้เหลือเฉพาะส่วนของกิ่งหลัก (cordon) ก่อนที่จะจับต้นให้ล้มนอนกับพื้น แล้วไถกลบดินสูงประมาณ 1 ฟุต ตลอดทั้งแถวองุ่นครับ ที่ทำเช่นนี้เพราะ ให้ต้นองุ่นสามารถมีชีวิตรอดและพักตัวในช่วงหน้าหนาว (ประมาณ -15 องศา) ในช่วง พ.ย.-ก.พ. ของทุกปี (ทรมานน่าดู ถูกจับฝังดินไม่พอ ยังต้องทนหนาวอีกเนอะ)
ลักษณะการฝังกลบต้นองุ่นเพื่อพักหนาว

ประมาณปลาย มี.ค. จะเริ่มจากใส่ปุ๋ยคอก จนถึงต้น เม.ย. จึงจะเริ่มเอาต้นองุ่นขึ้นมาจากดิน แล้วยึดต้นเข้ากับโครงลวดให้ตั้งตรง เพื่อรอให้ผลิใบในช่วงปลาย เม.ย.-ต้นเดือน พ.ค. ดังนั้นประมาณต้นเดือน มิ.ย. ก็เริ่มออกดอกและติดผลแล้วครับ และจะมีการลงแขก (จ้างแรงงาน) ห่อผลกันในช่วงต้น ก.ค. ก่อนเริ่มทยอยเก็บเกี่ยวผลผลิตกันตั้งแต่ช่วงปลาย ส.ค. ไปจนถึง ต้น ต.ค. เลยครับ (เพราะมีผลผลิตผลิตชุดที่ 2 เพิ่งสุก) บริเวณสวนองุ่นที่นี่จะนิยมปลูกพืชแซมระหว่างแถวด้วยครับ เช่น ถั่วลิสง พืชสมุนไพร โดยเฉพาะพืชผักนานาชนิด ในช่วงต้นองุ่นอายุ 1-3 ปีแรกหลังจากปลูก

ต้นองุ่นหลังจากเพิ่งนำขึ้นมาจากหลุมฝังช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ
ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากครับ มีทั้งขับรถยนต์มากันเองหรือคณะทัวร์ เพื่อมาเก็บผลผลิตสดจากแปลงองุ่น ซึ่งแต่ละสวนจะมีบริการบรรจุกล่องอย่างดีครับ ตั้งแต่ขนาด 1-5 กก./กล่อง ตามความต้องการลูกค้า แถมยังมีจำหน่ายอาหารกลางวัน (โต๊ะจีน) ไว้รองรับคณะทัวร์ด้วย เรียกว่างานนี้ เจ้าของสวนขายได้ทั้งองุ่นและอาหารครับ คุณหลี่ (Li) ซึ่งเป็นเจ้าของสวนขนาดเกือบ 10 ไร่ บอกกับผมว่า (หลังจากสนิทกันสักระยะนึง) ปีนึงๆ มีรายได้จากการขายผลผลิตองุ่นถึง...400,000 หยวน !!! ครับ (2 ล้านบาท/ปี...แถมหยุดงาน 4 เดือน ช่วงหน้าหนาว) ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เจ้าของสวนเป็นผู้กำหนดราคาเองนั่นเองครับ (20-30 หยวน/ กก.) และมีราคาสูงกว่าการขายปลีกในซุปเปอร์มาร์เก็ตเสียด้วยครับ (15-20 หยวน/กก.) และที่สำคัญกว่านั้น คือ ค่านิยมของคนจีนด้วยนั่นเองครับ ที่นิยมมอบผลไม้เป็นของขวัญในเทศกาลสำคัญต่างๆ

ลักษณะช่อดอกที่กำลังบานในช่วงต้นเดือน มิ.ย.
สำหรับสายพันธุ์ที่คนจีนนิยมบริโภคผลสดมากที่สุดนั่นคือ พันธุ์ จุ้ยเฟิง (巨峰) หรือ "Kyoho" นั่นเองครับ ซึ่งเป็นพันธุ์ยอดนิยมของโซนประเทศแถบนี้เช่นกัน ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ผลจะมีลักษณะกลมโต สีผิวผลเมื่อสุกม่วงดำ รสชาติหวาน (มาก) เปลือกจะค่อนข้างหนา และเหนียวหน่อยครับ แต่เนื้อผลเละๆ ครับ และมีน้ำค่อนข้างมาก ดังนั้น เวลาทานจึงควรทานทั้งผลดีที่สุด ไม่ควรกัดครึ่งเพราะ..เปลือกมันเหนียว กัดแล้วน้ำในผลอาจกระเด็นไปโดนหน้าคนข้างๆ เอาได้นะครับ (เหอะๆ..โดนหน้าตัวเองมาแล้ว) ซึ่งผมว่า...น่าจะต่างกับความนิยมการบริโภคของคนไทยเรานะครับ ที่นิยมทานแบบเนื้อแน่นๆ น้ำน้อยๆ หลังจากนำกลับมาให้เพื่อนๆ คนไทยทาน ส่วนใหญ่ก็ไม่ีมีใครชอบกัน (ยกเว้นผม แรกๆ ก็ไม่ชอบเหมือนกัน แต่ทานฟรีบ่อยๆ แล้วติดใจ..หุหุ)

พืชแซม (ตระกูลชิโซะหรืองาม้อน) ระหว่างแถว
แอบดูช่อผลองุ่นพันธุ์จุ้ยเฟิงในห่อ
จึงไม่น่าแปลกใจครับ ที่เกษตรกรสมัยนี้มีฐานะดีขึ้นมาก นโยบายส่งเสริมการผลิตยังไปในทิศทางเดียวกัน มีสถาบันวิจัยอยู่บริเวณใกล้ๆ ไว้คอยให้คำปรึกษาและกำหนดราคากลาง (เกษตรกรจะกำหนดมากกว่าน้อยกว่าก็ได้) มีฝ่ายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ส่งเสริมการผลิตและจำหน่ายผลผลิตให้กับเกษตรกรให้เป็นที่รู้จักแก่ผู้สนใจทุกปีครับ จนกลายเป็นที่รู้กันว่า ช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. นั้น จะเป็นเทศกาลเก็บเกี่ยวองุ่นกันในแถบนี้ครับ
ของฝากครับ..ต้นหอมที่คนจีนนิยมบริโภค (ต้าหยางชง) ปลูกแซมในแปลงองุ่น









วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สวนพิเศษ: รักษ์เฟิร์นและชายผ้าสีดาใต้ร่มเงาปาล์ม

หลังจากสังเกตเห็นพืชตระกูลเฟิร์นเจริญเติบโตได้ดีในสภาพสวนยางพาราแล้ว สวนปาล์มน้ำมันยังเป็นอีกแหล่งหนึ่ง ที่สามารถพบเห็นเฟิร์นหลากหลายชนิดเจริญเติบโตได้ดีเช่นกัน

เช่นเดียวกับหลักการทำสวนยาง ในสวนปาล์มจะกำจัดวัชพืชแทบตลอดทั้งปี กระทั่งต้นปาล์มอายุไม่น้อยกว่า 5 ปี จึงเริ่มมีร่มเงาระหว่างแถวมากขึ้น และมีร่องรอยการตัดแต่งทางใบบริเวณลำต้นเหลืออยู่ ทำให้เฟิร์นเริ่มสามารถเจริญอยู่ได้บ้าง ทั้งบริเวณลำต้น (ซอกทางใบที่โดนตัดแต่ง) และโคนต้นปาล์มน้ำมัน โดยอาจมีทั้งกลุ่มเฟิร์นที่เจริญได้ดีภายใต้ร่มเงา เฟิร์นอิงอาศัย ฯลฯ
เฟิร์นใบมะขามพบเห็นได้มากบริเวณต้นปาล์มน้ำมัน

เฟิร์นนาคราชเจริญบนลำต้นปาล์มน้ำมัน
ซึ่งมีการสำรวจ พบว่า ในหลายๆ จังหวัดทางภาคใต้นั้น จะมีกลุ่มเฟิร์นหลากหลายชนิดเจริญได้ดีในสภาพสวนปาล์ม โดยเฉพาะเฟิร์นใบมะขาม และเฟิร์นนาคราช จะพบเห็นได้มากที่สุด นอกจากนี้ยังมี ข้าหลวงหลังลาย และกระแตไต่ไม้ จำนวนไม่น้อยอีกด้วยครับ

หากจะกล่าวถึงชายผ้าสีดา หรือชายผ้าสีดาปักษ์ใต้ (Playcerium coronarium) ที่เป็นที่ชื่นชอบของหลายๆ ท่านแล้ว พบว่า สามารถเจริญเติบโตได้ดีบริเวณลำต้นปาล์มเช่นกันครับ แม้เราจะพบเห็นต้นอ่อน (จากสปอร์) บริเวณลำต้นได้น้อย แต่จากการได้ลองนำมาปลูก โดยให้เกาะอยู่บริเวณลำต้นนั้น พบว่า เพียงประมาณ 1 เดือน ชายผ้าสีดาก็สามารถปรับตัวและเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วแล้วครับ ทั้งนี้ อาจโตช้าหรือเร็วต่างกันตามขนาดของกระเปาะด้วย (กระเปาะใหญ่โตได้ไวกว่า น่าจะเป็นเพราะมีแผ่นใบกาบหลายๆ ชั้น ช่วยเก็บความชื้นได้ดี) แต่หลังจากปลูกอาจต้องรดน้ำให้บ้างครับ ถ้าอากาศร้อนและไม่มีฝนตก

กะเรกะร่อน กล้วยไม้ที่เจริญได้ดีบนลำต้นปาล์มน้ำมันเช่นกัน
ต้นอ่อนข้าหลวงบริเวณโคนต้นปาล์มน้ำมัน
การที่เฟิร์นสามารถเจริญบริเวณลำต้นปาล์มได้นั้น ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ ระหว่างซอกทางใบนั้นจะมีเศษซากวัสดุตามธรรมชาติสะสมอยู่ ทำให้กลายเป็นวัสดุปลูกอย่างดีสำหรับเฟิร์นและยังเก็บความชื้นได้ค่อนข้างดีเสียด้วย อีกทั้งในสวนปาล์มยังมีแสงแดด อุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะต่อการเจริญของเฟิร์นด้วย
ชายผ้าสีดาที่ลองนำมาปลูกบนลำต้นปาล์มน้ำมัน

แสดงให้เห็นว่า เฟิร์นหลากหลายชนิด โดยเฉพาะชายผ้าสีดานั้น สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในสวนปาล์มได้ค่อนข้างดี

และจะดีไม่น้อยครับ ถ้าเราจะมีส่วนช่วยลดการเก็บเฟิร์นจากพื้นที่ป่า แต่มาขยายพันธุ์ไว้ในสวนปาล์มแทน  ก็น่าจะลองดูนะครับ ใครจะไปรู้ นอกจากช่วยอนุรักษ์เฟิร์นแล้ว สวนปาล์มอาจกลายเป็นแหล่งเหมาะต่อการขยายพันธุ์เฟิร์นเพื่อจำหน่ายก็ได้นะครับ


วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

สวนพิเศษ: รักษ์เฟิร์นด้วยสวนยาง

เดี๋ยวนี้หลายๆ คน อยากมีสวนยางพารา เพราะราคายางดี ขายน้ำยางสดได้ ไม่ต้องเสียเวลาทำยางแผ่นเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อนก็ได้ (นอกจากจะเสียเวลาตากแดด ตากลมนาน ไหนจะต้องดูคุณภาพอีก...ไม่ดำ ไม่ไหม้ ไม่เกรียม ไม่แหว่ง ฯลฯ แถมยังเสี่ยงต่อการถูกขโมยยางแผ่นอีกสารพัด)

ตีนนกยูงเจริญอยู่ใกล้ๆ โคนต้นยางพารา
หลายๆ คนรักทำสวนยาง เพราะ โตไว 7 ปีก็กรีดได้แล้ว ราคาดีหน่อยก็ 6 ปีกรีด ใจร้อนหน่อย 5 ปีกว่าก็เอาสักหน่อยหละว๊า (โดยเฉพาะช่วงราคาเกินร้อยต่อกิโล) ยิ่งปลูกยิ่งรัก ยิ่งรักยิ่งขยันเอาใจใส่ ดูแลใส่ปุ๋ยอย่างดี หญ้าก็ตัด (หรือถาก) จนเตียนโล่ง ทำให้สวนยางเดี๋ยวนี้ ส่วนใหญ่เป็นสวนเชิงเดี่ยว คือ ปลูกแต่ยางอย่างเดียว ถ้าไม่นับพืชปลูกอื่นๆ ที่ำนำมาปลูกร่วม จึงมักต้องถูกกำจัดทิ้งไป

กระแตไต่ไม้บนคาคบต้นยางพารา





ในสภาพสวนยางพารานั้น จะมีสภาพอากาศค่อนข้างชื้น แสงแดดไม่จัด จึงมักเหมาะต่อการเจริญเติบโตของพืชกลุ่มเฟิร์นหลากหลายชนิด

จากการสำรวจในสภาพสวนยางทั่วๆ ไป (ทางภาคใต้) นั้น พบว่า มีมากถึง 10 ชนิด 8 สกุล จาก 6 วงศ์ โดยเฉพาะเกล็ดนาคราช และลิเภายุ่ง จะพบเห็นได้มากที่สุด
เกล็ดนาคราชเกาะบริเวณลำต้นยางพารา












อย่างไรก็ตาม ในด้านจำนวนและชนิดอาจแตกต่างกันได้ตามถิ่นอาศัยของเฟิร์น ซึ่งอาจจำแนกได้ 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มเฟิร์นที่เจริญได้ดีบริเวณลำต้นหรือคาคบของต้นยางพารา เช่น กระแตไต่ไม้ ว่านงูกวัก เกล็ดนาคราช ฯลฯ


ลิเภายุ่งแตกใบสวยงามในสวนยางพารา



และอีกกลุ่ม คือ กลุ่มเฟิร์นที่เจริญบริเวณพื้นดินใกล้โคนต้นหรือระหว่างแถวยางพารา เช่น กลุ่มเฟิร์นในวงศ์ลิเภา เฟิร์นก้านดำใบนวล สามร้อยยอด ตีนนกยูง เป็นต้น

เฟิร์นก้านดำใบนวลระหว่างแถวยางพารา

นอกจากพืชกลุ่มเฟิร์นแล้ว ในสภาพสวนยางพารายังมีความเหมาะสมต่อการเติบโตของกลุ่มกล้วยไม้และตระกูลปาล์มบางชนิดอีกด้วยนะครับ




แสดงให้เห็นว่า นอกจากพืชกลุ่มเฟิร์นแล้ว เราอาจพบพืชพรรณต่างๆ ได้แตกต่างกันไป ในแต่ละสวนหรือแต่ละพื้นที่ด้วยครับ

ลองหาโอกาสเดินดูบริเวณสวนยางพารานะครับ คุณจะได้เห็นเฟิร์นสวยงามหลากหลายชนิด นอกเหนือจากที่นำมาให้ดูกันครั้งนี้

ที่สำคัญ สภาพสวนยางพาราจึงน่าจะรับไว้พิจารณาเพื่อมีส่วนช่วยอนุรักษ์เฟิร์นหรือจะเป็นแหล่งขยายพันธุ์เฟิร์นก็น่าจะดีไม่น้อยนะครับ

เฟิร์นสามร้อยยอดระหว่างแถวยางพารา

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

สวนพิเศษ: ดูแลพืชต้องห้าม (กัญชา) อย่างไรภายใต้ระบบโรงเรือน

ดูตัวอย่างพัฒนาการและการเจริญเติบโตของต้นกล้า

เช่นเดียวกับหลายๆ ท่าน ที่ไม่มีโอกาสได้เห็นต้นกัญชาแบบเป็นๆ เลยสักครั้ง แถมยังรับรู้กันดีว่าเจ้ากัญชาเป็นพืชที่นิยมนำไปใช้เพื่อการเสพและถูกจัดว่าผิดกฎหมายเสียด้วย การได้ทำความรู้จักกับพืชชนิดนี้ ในแง่มุมอื่นๆ นับว่าเป็นเรื่องแปลกและน่าสนใจไม่น้อยครับ อย่างไรก็ตาม บทความนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนหรือเผยแพร่ในมุมมองของสารเสพติดนะครับ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของ Cannabis sativa L. (ภาพจากวิกิพีเดีย)
สะดุดใจครั้งแรก.. ตรงที่ได้อ่านเรื่องราวของกัญชาในแง่มุมอื่นๆ ทั้งจากคอลัมน์สุขภาพของสำนักข่าว BBC และองค์การอนามัยโลก (WHO) เพราะพบว่า เป็นพืชที่มีองค์ประกอบของสารต่างๆ กว่า 400 ชนิด รวมถึงสารปฏิชีวนะ (antibiotics) คล้ายคลึงกับกลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin) รวมถึงบทความที่บางท่านได้เขียนไว้ในแง่มุมอื่นๆ (เช่น blogger ของคุณ First on Fire) หรือในประเด็นที่เป็นพืชช่วยรักษาโรค (โดยเฉพาะมะเร็ง!) จากบทความของ อ. ประสาท มีแต้ม (แต่ถ้าสูบบ่อยๆ ก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งปอดแทนหรือเปล่า?)
ลักษณะดอกตัวผู้ (ภาพจากวิกิพีเดีย)


หลังจากนั้น สะดุดใจอีกครั้ง.. ตรงที่ไปเห็นร้านขายสินค้าเกี่ยวกับกัญชากลางเมืองใหญ่อย่าง อัมสเตอร์ดัมนี่สิ ซึ่งมาทราบทีหลังว่าในบางประเทศเค้าจัดให้เป็นสิ่งผิดกฎหมายระัดับ บี (น่าจะซื้อขายได้แต่ต้องควบคุมเป็นพิเศษ??) แถมมีการปลูกในโรงเรือนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เพื่อจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ แถมยังโฆษณาว่ามีหลากหลายพันธุ์ เพราะมีการปรับลดความแรงของเจ้าสารออกฤทธิ์ Tetrahydrocannabinol (THC) ในกัญชาให้แตกต่างกัน เพื่อความแตกต่างของรสชาติจากการเสพนั่นเองครับ (เกรงว่าจะเป็นการส่งเสริมแหล่งจัดจำหน่าย ขอไม่ระบุลิงค์ครับ)

จากข้อมูลใน Wikipedia ทำให้พอทราบได้ว่า กัญชามีแหล่งกำเนิดทั้งจากแถบเอเชียกลางและเอเชียใต้ (แถบอินเดีย และจีน) รวมถึงแถบอเมริกาเหนือและยุโรป แม้มีการถกเถียงทางวิชาการถึงจำนวนสายพันธุ์ แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า ประกอบด้วย 3 สายพันธุ์หลัก คือ Cannabis sativa, Cannabis indica และ Cannabis ruderalis โดยทั่วไปกัญชาเป็นพืชในตระกูลเดียวกับต้นปอและป่าน ลำต้นจึงสามารถใช้ประโยชน์เพื่อทำเส้นใยได้ หรือเรียกว่า helm ส่วนเมล็ดยังสามารถสกัดเป็นน้ำมันได้ด้วย ซึ่งสารเคมีต่างๆ ที่นิยมสกัดไปใช้ในกลุ่ม Cannabinoids จะพบมากในส่วนของดอกเพศเมียนั่นเอง
ลักษณะดอกตัวเมีย (ภาพจากวิกิพีเดีย)

เนื่องจากกัญชาเป็นพืชที่มีดอกไม่สมบูรณ์เพศ คือ มีดอกเพศผู้หรือเพศเมียแยกกัน แต่อาจมีลักษณะเป็นต้นกระเทย ซึ่งมีทั้งดอกเพศผู้และเมียในต้นเดียวกันได้ ทำให้มีการใช้ระบบปลูกภายใต้โรงเรือนควบคุมต้นอ่อนที่อาจได้จากเมล็ดหรือกิ่งชำก็ได้ ไม่ให้เจริญเป็นต้นตัวผู้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีเทคนิคบางประการที่น่าสนใจสำหรับการปลูกและดูแลรักษาเพื่อควบคุมให้เป็นต้นเพศเมียได้ถึง 99% เลยทีเดียว
ลักษณะเมล็ด (ภาพจากวิกิพีเดีย)

โดยทั่วไปการปลูกนับแต่ระยะต้นกล้าถึงเก็บเกี่ยวดอกใช้เวลาประมาณ 8 สัปดาห์ (เริ่มติดดอกช่วง 6 สัปดาห์) การดูแลรักษาในโรงเรือนประการแรก คือ อุณหภูมิควรอยู่ในช่วง 20-25 องศาเซลเซียส และต้องไม่สูงกว่า 30 องศาฯ สิ่งสำคัญต่อมา คือ ความชื้นสัมพัทธ์ควรอยู่ที่ 75-80% เมื่อต้นอายุประมาณ 3-4 สัปดาห์ ลดลงที่ 60-70% จนถึง 45% ในระยะเก็บเกี่ยวดอก ขณะที่แสงไม่ควรเกิน 40,000 lumens/m2 เป็นเวลา 18 ชม/วัน และลดเหลือ 12 ชม/วัน ในช่วงติดดอก เทคนิคสำคัญอีกประการของแสง คือ ช่วงแสงสีน้ำเงินจะมีผลต่อการพัฒนาของดอกเพศเมียได้ดีกว่าช่วงแสงสีแดง ดินและวัสดุปลูกสภาพที่เหมาะต่อการเจริญของดอกเพศเมีย คือ ต้องชื้นเพียงพอตลอดเวลา (ไม่ขัง ไม่แฉะ) มีธาตุไนโตรเจนสูง โพแตสเซียมต่ำ (ให้ปุ๋ยตั้งแต่ระยะต้นกล้า 20-15-15) ในระยะติดดอกอาจเปลี่ยนฟอสฟอรัสสูงแทน (5-20-5) ค่าพีเอชควรเป็นกรดเล็กน้อย (6.0-6.5)

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การปลูกและดูแลรักษาต้นกัญชามีความยากตรงที่ต้องดูแลไม่ให้เติบโตกลายเป็นต้นตัวผู้ เทคนิคเหล่านี้นอกจากมีประโยชน์ในการดูแลรักษาแล้ว น่าจะนำไปประยุกต์ใช้กับพืชชนิดอื่นๆ ที่มีปัญหาคล้ายคลึงกันและเกิดผลกระทบจากต้นเพศผู้ครับ

สุดท้ายนี้ อยากฝากไว้สักนิดครับ
เมื่อรู้ว่ากัญชามีสารเสพติดก็อย่าไปเสพเลย...แต่ในเมื่อรู้ว่ากัญชาเป็นยารักษาโรคได้ ก็น่าจะให้มีการศึกษาไว้ใช้ประโยชน์เพื่อรักษาโรคต่อไปครับ
แต่ถ้าจะเอามาใช้ตกแต่งอย่างตามรูปข้างล่างนี้ ก็แล้วแต่จะพิจารณานะครับ (ทำไปได้เนอะ)

บอนไซกัญชา (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ต้นคริสต์มาสกัญชา (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)


วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

สวนต่างแดน: Guangxi ดินแดนแห่งสวนส้ม (เป่ยไห่)

ภาพจากอินเตอร์เน็ต (Asian Citrus)

ปัจจุบันประเทศจีนได้กลายเป็นแหล่งปลูกและผลิตส้มรายใหญ่ 1 ใน 5 ของโลก ผลผลิตกว่า 90% นั้นมาจากพื้นที่ปลูกทางภาคใต้จาก 9 มณฑล หนึ่งในนั้น คือ มณฑลกว่างซี (Guangxi) นั่นเองครับ

จำนวนพื้นที่ปลูกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากนโยบายจากภาครัฐที่ให้การสนับสนุนสาธารณูปโภคต่างๆ ด้านต้นพันธุ์ การปลูก การผลิต การจำหน่าย ฯลฯ เพื่อขยายพื้นที่ปลูกให้ได้ถึง 1,200 เฮกแตร์ต่อปีเลยทีเดียว ภายในช่วงปี 2011-2015 นี้

สวนส้มแห่งแรกที่จะกล่าวถึง คือ Asian Citrus ซึ่งเป็นสวนเอกชน (นักลงทุนชาวฮ่องกง) รายใหญ่ที่สุดของจีน จากจำนวนสวนส้ม 3 มณฑล (Guangxi, Hunan และ Jiangxi) ครอบคลุมขนาดพื้นที่ปลูกทั้งหมดถึง 100 ตร.กม. หรือประมาณ 6 หมื่นไร่ (เองนะเนี่ย)  

สำหรับ สวนส้มที่ได้ไปเยี่ยมชมมานั้น อยู่บริเวณเขตเมือง เหอผู่ (Hepu) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายทะเลเป่ยไห่ (Beihai) ทางตอนใต้ของจีนครับ (ขออภัยที่ไม่มีรูปประกอบ) ด้วยขนาดพื้นที่เกือบ 20,000 ไร่ ผมจึงต้องนั่งรถชมสวนในการตระเวณดูส้มสายพันธุ์ต่างๆ และหลากหลายอายุปลูก   
ต้นส้มอายุเพียง 3 ปี

หนึ่งในสายพันธุ์ส้มหาดูยากที่รวบรวมพันธุ์เอาไว้
Dr. Xu ซึ่งเป็นผู้จัดการและดูแลสวนส้มแห่งนี้ กล่าวว่า สายพันธุ์ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา และบางส่วนจากออสเตรเลีย เช่น ส้มคั้นน้ำสายพันธุ์ valencia และ navel แต่คนจีนมักนิยมเรียกว่า เซี่ยเฉิง (ส้มที่เก็บเกี่ยวในช่วงฤดูร้อน) ผลผลิตส่วนใหญ่จึงสามารถเก็บเกี่ยวได้ในช่วงฤดูร้อน (มี.ค.-พ.ค.) สำหรับป้อนโรงงานผลิตน้ำส้มบรรจุขวดชื่อดังอย่าง Minute Maid สาขาประเทศจีนครับ และบางส่วนในช่วงฤดูหนาว (ต.ค.-ธ.ค.) สำหรับรองรับเทศกาลตรุษจีนในช่วงหลังปีใหม่  
สายพันธุ์ grapefruit 

นอกจากความพร้อมในด้านการผลิตแล้ว สวนส้มแห่งนี้ยังมีความพร้อมในด้านการวิจัยส้มปลอดโรค การขยายพันธุ์ การจัดการต้นกล้าในโรงเรือน และแปลงรวบรวมสายพันธุ์ส้มต่างๆ ไว้อีกมากมายด้วยครับ (รวมถึงตระกูลส้มโอ และมะนาว) ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงมีทีมงานนักวิจัย คนงาน รวมถึงเครื่องจักรกลต่างๆ สำหรับจัดการสวนจำนวนมาก ซึ่งจัดได้ว่า มีความพร้อมและมีศักยภาพสูงสำหรับการพัฒนาวงการสวนส้มของจีนให้ก้าวหน้าได้อีกมากครับ

แหล่งปลูกส้มที่สำคัญในกว่างซียังไม่หมดเพียงเท่านี้ โปรดติดตามต่อในเขตกุ้ยหลินและหนานหนิงครับ



วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

สวนต่างแดน: LEDs กับการผลิตกุหลาบในโรงเรือนที่ฮอลแลนด์

แปลงกุหลาบในโรงเรือน
ประเทศฮอลแลนด์ได้ชื่อว่ามีความโดดเด่นในด้านเทคโนโลยีโรงเรือนเพื่อการผลิตพืชปลูกต่างๆ จนอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก โดยเฉพาะกลุ่มไม้ดอกซึ่งสามารถให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปีภายใต้การปลูกในสภาพโรงเรือน ขณะที่ ในสภาพธรรมชาตินั้นมักมีสภาพอากาศที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของไม้ดอกเฉพาะช่วงฤดูกาลผลิตเท่านั้น เช่นเดียวกับเทคโนโลยีการให้แสงภายในโรงเรือน ที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญต่อการปลูกไม้ดอกในทางการค้าเป็นอย่างมาก เพื่อทำให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตลอดทั้งปีนั่นเอง

จากที่มีโอกาสเยี่ยมชมบริษัท Marjoland ซึ่งมีโรงเรือนสำหรับปลูกกุหลาบคลอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดถึง 20 เฮกแตร์ (ประมาณ 125 ไร่) จึงทำให้กลายเป็นแหล่งผลิตกุหลายรายใหญ่ที่สุดของฮอลแลนด์ เพื่อการจำหน่ายทั้งในประเทศและแถบยุโรป ทั้งๆ ที่บริษัทแห่งนี้ เป็นเพียงธุรกิจภายในครอบครัวเท่านั้นเอง สำหรับการผลิตกุหลาบตัดดอกคุณภาพดีนั้น ทางเจ้าของได้เล่าว่ามีหลากหลายสายพันธุ์ เช่น พันธุ์ Passion ที่มีลักษณะดอกสีแดงเข้ม พันธุ์ White Naomi ลักษณะสีขาวนวล หรือ Sweet Dolomiti ซึ่งมีสีชมพูอ่อน ฯลฯ 

White Naomi
ขณะเดียวกัน ภายในโรงเรือนจะมีการควบคุมความเข้มแสง อุณหภูมิ ระบบน้ำและปุ๋ย (fertigation) ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งแผงหลอดไฟ LEDs (Light-emitting diodes) ตลอดแนวทรงพุ่มต้นกุหลาบอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นกระตุ้นการสร้างตาดอกนั่นเอง โดยพบว่า หากควบคุมการให้แสงจากหลอด LEDs จะทำให้แต่ละต้นมีจำนวนดอกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1 เปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมงที่ให้แสงเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ยังคงมีข้อจำกัดตรงที่ ศักยภาพในการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิต ยังอยู่ภายในช่วงระยะเวลาให้แสงที่ 18 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น (เพราะพืชยังต้องการช่วงมืด หากให้แสงมากกว่านั้น ย่อมสิ้นเปลืองต้นทุนด้วยนั่นเอง)
LEDs ในแถวกุหลาบ

นอกจากนี้ ได้มีการติดตั้งเครื่องคัดขนาดดอกจำนวนไม่น้อยกว่า ร้อยเครื่อง สำหรับคัดตามขนาดของก้านดอก ทำให้สามารถคัดเลือกได้อย่างรวดเร็วและตรงตามเกณฑ์คุณภาพ จากขั้นตอนตรงนี้ มีการใช้แรงงานคน เพียงขับรถรางบรรทุกกุหลาบที่เพิ่งตัดดอกเสร็จมาวางไว้ตรงแท่นของเครื่องมือ จากนั้นเครื่องมือเหล่านั้นก็จะคัดขนาดและลำเลียงไปตามสายพานโดยอัตโนมัติ ระหว่างนี้จะมีคนงานแถวละ 1 คน คอยสังเกตและสุ่มคัดเลือกดอกที่ไม่สวยงามออก ก่อนจะนำไปบรรจุจำหน่ายต่อไป

เครื่องคัดแยกขนาดดอก
ดังนั้น การควบคุมความเข้มแสงโดยใช้หลอด LEDs ได้มีบทบาทสำคัญต่อการผลิตกุหลาบเป็นการค้า จึงเห็นได้ว่า LEDs ได้กลายเป็นอุปกรณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่ทางผู้ผลิตได้นำมาใช้เพื่อเพิ่มจำนวนและคุณภาพผลผลิต แม้ว่าจะยังมีราคาสูงก็ตาม แต่ในอนาคตอันใกล้ทางผู้ผลิตมั่นใจว่า เทคโนโลยีนี้จะมีราคาต่อหน่วยต่ำลงแน่นอน